

1. บริษัทมีการขยายการลงทุนเมื่อเทียบการเติบโตจากจุดเดิมมีค่ามากกว่า 1.5 เท่าขึ้นไป เช่น เดิมบริษัทมีผลกำไรสุทธิต่อหุ้น 1 บาทต่อหุ้น ครั้นเมื่อลงทุนกับโครงการใหม่เมื่อคำนวณคร่าวๆ แล้วพบว่าได้ค่ากำไรสุทธิต่อหุ้น มากกว่า 1.5 บาทต่อหุ้น อย่างนี้เป็นต้น
2. รอบหรือวงจรของอุตสาหกรรมกำลังจะมาถึง เช่น กลุ่มเกษตร กลุ่มปิโตรเคมี กลุ่มเดินเรือ กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ หรือ กิจการได้ลงทุนโครงการไว้ก่อนหน้ากำลังจะแล้วเสร็จที่จะให้รายได้และผลกำไรตีกลับเข้ามายังบริษัทในปริมาณที่มากกว่าเดิมในตัวเลขที่เห็นแล้วรู้สึกว่าโตกว่าเดิมแบบก้าวกระโดด โดยผมกำหนดให้มีค่ามากกว่าจุดเดิมที่ 1.5 เท่า ขึ้นไป (ใช้ EPS เป็นตัวกำหนด)
3. EPS จะเติบโตไปอีกอย่างต่อเนื่องระยะหนึ่ง เช่นใน 2-3 ปี ตามรอบของกิจการหรือต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ยิ่งถือว่าเป็นหุ้นดี แต่ถ้ามาครั้งเดียวแบบปีเดียวแบบนี้ ถ้าจะเล่นต้องเล่นอย่างมีระบบ โดยเข้าซื้อดักไว้ล่วงหน้าเมื่อราคาหุ้นวิ่งไปรับผลประกอบการที่จะดีกว่าเดิมที่จะประกาศออกมาเราก็ขายหุ้นออกไป
4. มีเหตุการณ์ที่มักจะเก็งกำไรหุ้น ได้แก่ การล้างขาดทุนสะสม การเพิ่มทุน การควบรวมกิจการ หรือ การปรับโครงสร้างทา
5. เกิดสัญญาณทางเทคนิคตามรูปแบบหรือ Pattern ที่ตนเองกำหนด ว่าถ้าเป็นรูปแบบลักษณะใดจึงจะเป็นรูปแบบที่ใช่ โดยจะต้องมีรูปแบบที่ตนเองเข้าใจ หรือเรียกว่า มีท่าไม้ตายเป็นของตนเอง

SPEC หรือคุณสมบัติของหุ้นนั้น เราจะต้องกำหนดและวางระบบด้วยตัวเอง โดยใช้ในสิ่งที่ตนเองถนัดและชำนาญที่สุด เช่น ถ้าปัจจัยทางพื้นฐานเข้าเกณฑ์แต่สัญญาณทางเทคนิคไม่ใช่แบบนี้ก็จะไม่สนใจ แต่จะสนใจเมื่อปัจจัยทางพื้นฐานและสัญญาณทางเทคนิคเข้า SPEC เท่านั้น หรือ ต้องมีรูปแบบตามสัญญาณทางเทคนิคที่ตนถนัดเท่านั้นจึงจะเลือกเล่น หรือไม่ก็จะต้องเข้าตามปัจจัยพื้นฐานเท่านั้นจึงจะเลือกลงทุน โดยเลือกมาแค่วิธีใดวิธีหนึ่งตามระบบการลงทุน ก่อนอื่นจะขอทบทวนอีกครั้งสำหรับวิธีลงทุนในตลาด เผื่อท่านใดไม่ได้อ่านกับบทความก่อนหน้านี้
ตอนหน้าเราจะมาพบกับเรื่องราวอะไรอีกมาติดตามกันนะครับ